วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

3 วิธีไดเอทแบบล้างพิษ (ที่ต้องระวัง)

การไดเอทแบบล้างพิษมีคุณประโยชน์ (Woman's Story)


เมื่อร่างกายได้รับการล้างพาออกไปจะทำให้ระบบต่าง ในร่างกายทำงานดีขึ้น ซึ่งระบบเผาผลาญก็เช่นกัน ดังนั้นทำให้คุณผู้หญิงสามารถลดน้ำหนักได้เร็วกว่าเดิม
     
และนี่คือการไดเอทแบบล้างพิษ แต่ก็มีทั้งข้อดี และข้อเสียที่สาว ควรทราบไว้ก่อนจะตัดสินใจทำ โดยมีด้วยกัน 3 วิธีดังต่อไปนี้


Cleanse Diet
          
คือการกินอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงเมนูเดียวตลอดวัน เช่น ถ้ากินฟักทองต้มก็ต้องกินฟักทองทั้งวัน วันรุ่งขึ้นกินแกงจืดก็ต้องแกงจืดอย่างเดียว อีกวันกินแอปเปิ้ลก็ต้องแอปเปิ้ลทั้งวัน เป็นต้น 
           
ข้อดีของวิธีนี้คือ ผอมแน่  ต่อให้คุณเป็นคนผอมยากขนาดไหน ยังไง วิธีนี้ก็เอาอยู่ แต่ข้อเสียคือ ทำยาก และน้ำหนักที่หายไปก็ไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำและกล้ามเนื้อมากกว่า ถ้าไม่ออกกำลังกายร่วมด้วย ผิวพรรณจะเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด และถ้ากลับมากินอาหารตามปกติ น้ำหนักก็จะกลับมาใหม่
 
Row Food Diet
          
คือการกินแต่ของดิบ เท่านั้น เช่น ปลาดิบ ผักสด ผลไม้สด โดยอาจจะทำตารางรายการอาหารให้ตัวเองไปเลยว่า มื้อเช้ากินปลาดิบกับสลัดผลไม้ มื้อกลางวันกินสลัดผักจานโต พอมาถึงมื้อเย็นก็กินแต่ผลไม้รวมมิตร หรือถ้าเบื่อผักสดจะใช้วิธีนึ่ง ต้ม หรือตุ๋นก็ได้ แต่ต้องใช้ความร้อนไม่เกิน 100 องศา เพื่อรักษาคุณค่าอาหารของผักเอาไว้ 
           
ข้อดีคือ ได้เส้นใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานใกล้เคียงกับการกินข้าว และทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี จึงช่วยขจัดไขมันออกไปได้มาก คนที่ทำวิธีนี้จะรู้สึกว่าผอมลงตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ลงมือทำ ส่วนข้อเสียคือ รสชาติของอาหารไม่หลากหลาย ทำให้เบื่อง่าย
 
Master Cleanse Diet
          
คือ ต้องไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่า น้ำเปล่าบีบมะนาว น้ำแกงจืด น้ำผลไม้ และสารพัดน้ำอื่น ตามใจชอบ 
          
ข้อดีของวิธีการนี้คือ น้ำหนักจะลดลงไป 2 - 3 กิโลภายในหนึ่งอาทิตย์ แถมยังช่วยล้างสารพิษที่หมักหมมในร่างกายอย่างได้ผลด้วย และข้อเสียก็คือ ทำยากมากถึงมากที่สุด และสาว จะมีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิด เครียดอยู่ตลอดเวลา 

           
ที่สำคัญคือน้ำหนักที่ถูกกำจัดไปนั้นไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นแค่น้ำกับกล้ามเนื้อเท่านั้น เมื่อไรที่คุณตบะแตกกลับไปทานอาหารตามปกติ น้ำหนักที่หายใจก็จะดีดตัวกลับมาใหม่ทันทีค่ะ



                   ขอขอบคุณข้อมูลจาก


  

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

มหัศจรรย์แห่ง "มด"

ไปเจอเรื่องเกี่ยวกับมดในหนังสืออ่านเล่น เล่มหนึ่ง อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมา share ให้ได้รับรู้เรื่องของมดที่น่ามหัศจรรย์ น่าทึ่ง...

............เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของสัตว์น้อยตัวกระจิ๋วที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คิด มดบนโลกนี้มีชีวิตอยู่ สืบพันธุ์มามากกว่าร้อยล้านปี ทุกวันนี้มีมดมากถึง 20,000 สปีชีส์ และหากชั่งน้ำหนักมดทุกตัวบนโลกรวมกัน จะพบว่ามดมีน้ำหนักเท่ากับคนทั้งโลกรวมกันเลยนะ ซึ่งคนหนึ่งคนจะหนักเท่ากับมดประมาณ 12,500,000 ตัว 
  
     ปกติมดหนึ่งตัวหนักเพียง 0.004 กรัม สามารถเดินยกวัตถุที่หนักได้ถึง 5 เท่า โดยใช้กรามของมันซึ่ง แข็งแรงมาก สามารถลากของได้หนักกว่าน้ำหนักตัวมันถึง 25 เท่า(ถ้ามดรวมกันหนัก 100 กิโลกรัม สามารถยกของหนักได้ตั้งแต่ 500-2,500 กิโลกรัม) และพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งที่เราเคยเห็น คือ เห็นมดจูบปากกัน แต่ความจริงพวกมันกำลังสื่อสารกัน ด้วยหนวดต่างหาก เมื่อเพื่อนมดตัวหนึ่งหิว ก็จะเอาหนวดไปเคาะที่แก้มของมดงานที่ออกหาอาหาร มดงานก็จะปล่อยอาหารที่เก็บไว้ที่กระเพาะหน้าออกมาแบ่งให้เพื่อน ส่วนในกระเพาะหลังเก็บอาหารไว้กินเอง  มดมีกลิ่นพิเศษเฉพาะตัวที่ผลิตขึ้นมาเอง ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่ากลิ่นนั้นเป็นสารเคมีของฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า "ฟีโรโมน"

               ฟีโรโมนเป็นสารเคมีที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร และบอกทางกัน เมื่อมดตัวหนึ่งพบอาหาร มันจะปล่อยกลิ่นออกมาจากปลายท้อง และระหว่างที่เดินกลับรังก็จะใช้ส่วนท้องแตะทางเดินไปตลอดทาง เพื่อแจ้งข่าวให้เพื่อนมดด้วยกันรู้ถึงแหล่งอาหาร เมื่อมดตัวอื่น ได้กลิ่น ก็จะเดินตามกันเป็นแถวเพื่อกิน และขนอาหารกลับรัง ถ้ายังมีอาหารเหลืออยู่ ในระหว่างขนอาหารกลับ ก็จะปล่อยฟีโรโมนเพิ่มขึ้นเรื่อย แต่ถ้าอาหารหมดแล้ว มดก็จะไม่กลับไปที่แหล่งอาหารนั่นอีก นอกจากนี้ มดยังปล่อยฟีโรโมน เพื่อเตือนภัยกับสมาชิกในกลุ่ม เมื่อได้รับอันตราย มดก็จะปล่อยฟีโรโมนออกมา สมาชิกมดก็จะมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับผู้บุกรุกทันที


   เมื่ออ่านเรื่องนี้แล้วเวลาเห็นมด จะคิด 2 อย่างคือ
1.   เรื่องความอดทน มดเป็นแบบอย่างแก่เราในเรื่องความอดทน มันตัวเล็กนิดเดียวแต่ความอดทนของมันมหาศาลที่เดียว

2.   มดเป็นสัตว์ที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง ในเรื่องของความขยัน สามัคคี และรู้หน้าที่ของตนเอง

3.   การแบ่งบัน มันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่เอาตัวรอดคนเดียว มันเห็นส่วนรวมสำคัญกว่า มันมีความรักสามัคคี

ถ้าสังคมเราเหมือนสังคมมด โลกเราคงสดใสน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยทีเดีย


ant ant ant ant ant ant Ant ant ant ant ant ant 

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ทางเลือกอันชาญฉลาด


          อาจารย์และลูกศิษย์คู่หนึ่งออกเดินทางไปด้วยกัน แล้วจู่ๆ ก็มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งขวางเส้นทางด้านหน้าเอาไว้ ฝ่ายลูกศิกษ์ยืนอยู่หน้าก้อนหินแล้วขมวดคิ้วแน่น เขาเอ่ยกับผู้เป็นอาจารย์ด้วยสีหน้ากังวล "อาจารย์ครับ หินก้อนนี้ขวางทางเอาไว้ เราผ่านไปไม่ได้แล้ว จะทำอย่างไรดี"


      
          อาจารย์ว่า " ผ่านไม่ได้ก็ช่างเถอะ เราอ้อมไปก็แล้วกัน"

                 ทว่าลูกศิษย์กลับตอบว่า "ไม่ขอรับ กระผมไม่อยากเดินอ้อม กระผมจะเดินข้ามก้อนหินนี้ไป!"

                 อาจารย์ "เจ้าทำได้หรือ" 

                 ลูกศิษย์ "กระผมรู้ว่ายาก ทว่ากระผมก็อยากจะเอาชนะ ความยากลำบาก เอาชนะมันให้ได้!"

                 ดังนั้นลูกศิษย์จึงทดลองหลายต่อหลายครั้งด้วยความยากลำบาก ทว่าเขาก็พ่ายแพ้เสียทุกคราไป

                 แล้วลูกศิษย์ก็เอ่ยขึ้นด้วยความทรมานว่า "แม้แต่หินก้อนเดียว กระผมก็ยังเอาชนะไม่ได้ และจะบรรลุอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ได้อย่างไรกัน"

                  อาจารย์จึงกล่าวว่า "เจ้าดังดันเกินไป เจ้าต้องรู้ว่า บางครั้งการดึงดัน ก็ไม่สู้ปล่อยวาง"
          
       
                ...ยามที่เราพยายามทำเรื่องหนึ่งๆ แต่มักจะไม่ประสบความสำเร็จ ก็ลองเรียนรู้ที่จะปล่อยวางสักหน่อย ในหลายๆ คราความดึงดันไม่อาจจะสร้างความสำเร็จได้เสมอไป  ลองเปลี่ยนเป็นอีกวิธีการหนึ่งก็อาจจะนำปัจจัยความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ มาสู่เราได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถลดความเจ็บปวดและผิดหวัง ทำให้ชีวิตเราเบิกบานขึ้น


........

เติม " ละ " ให้กับ " อาย "


          อันที่จริงท่าทางเขินอายแบบไทยๆ เรานี้ก็เป็นเสน่ห์ดี เพราะช่วยเสริมความมั่นอกมั่นใจให้คนที่อาย ตรงข้ามกับความ " กร่าง " ที่หมายมุ่งบดทับราศีคนอื่น
         
          แต่ความขี้อายที่เกินอัตราไปนั้นก็กลายเป็นอุปสรรค์ได้ อย่างเช่น อายจนไม่กล้าถาม ก็เลยไม่รู้อยู่นั่นแหละ อายจนไม่กล้าพูด ก็เลยถูกเข้าใจผิด หรือไม่ก็ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าอายจนไม่อยากออกงานหรือพบผู้คนโลกทัศน์ก็อาจจะแคบ

          คนบางคนที่รักความเป็นส่วนตัวมากก็อาจจะดูเหมือนคนขึ้อาย ส่วนคนที่ขี้อายขนานแท้นั้นอาจจะรักความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน แต่จะขาดความมั่นใจด้วยในบางแง่ ทำให้อ่อนไหวต่อการมอง การคิดของคนอื่น ความขี้อายที่แพร่สะพัดในบ้านเมืองเราในปัจจุบัน คือความขี้อายที่เกี่ยวกับการไม่มี เช่น อายที่ไม่มีกระเป๋ายี่ห้อ อายที่ไม่มีปริญญา พูดภาษาฝรั่งไม่เก่ง ไม่มีรถยนต์นั่ง

          อยากแนะนำว่าลองหยุดคิดสักนิดว่า 
"อายใคร" "อายทำไม" ...... จะช่วยประเมินคุณค่าของคนที่เราอาย   
"อายแล้วได้หรือเสียประโยชน์อะไรกับตัวเองและคนอื่น" ...... ช่วยประเมินค่าของความอายนั้นว่าคุ้มหรือไม่

          " ละอาย " เป็นคำที่ใกล้เคียงกับ " อาย " แต่แตกต่างกันตรงที่ ความละอาย เป็นเรื่องของจริยธรรมความถูกต้อง ที่เกินขึ้นจากสำนึกภายใน ไม่ขึ้นอยู่กับการที่คนอื่นจะรู้หรือไม่รู้  ส่วน ความอาย  เป็นเรื่องของความรู้สึกรู้สมกับสายตาผู้อื่น (ถึงแม้ว่าบางครั้งไม่ใช่เรื่องเสื่อมเสีย) หรือเป็นเรื่องของการถูกเปิดเผยในสิ่งที่ตัวเองต้องการที่จะปกปิด (ซึ่งบ่อยครั้งเป็นเรื่องที่ควรระอาย)

          ในเมื่อความอายนั้นเกี่ยวข้องกับภาพ แต่ความละอายมาจากคุณภาพทางใจ ความละอายจึงมีคุณค่าเหนือความอายอย่างมากมาย

คุณหญิงจำนงค์ศรี หาญเจนลักษณ์


วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ก้อนหินละเมอ



เป็นเพลงที่ชื่นชอบเป็นพิเศษค๊า... " กลัวทุกคราวเพราะว่าฉันนั้นคือก้อนหิน..."



...มองไปไกล ที่ดวงดาวสุดขอบฟ้าไกล
อยากจะไป ไปให้ถึงครึ่งทางแสงเธอ
ดวงดารา เหมือนไม่มีวันจะพบเธอ
อยากให้เธอ ส่องแสงลงมาพื้นดิน

มองจันทรา เมื่อเวลามันกลบแสงดาว
กลัวทุกคราว เพราะว่าฉันนั้นคือก้อนหิน
กลัวดวงดาว ไม่ทอแสงลงกระทบดิน
และก้อนหิน อย่างฉันคงไม่สวยงาม

อยากให้ดาว ดวงนั้นรู้ว่า
เมื่อดารา ส่องแสง ฉันดูสดใส
อยากให้ดาวดวงนั้นเข้าใจ
ขาดเธอไป ตัวฉันคงหมดสิ้นกัน

อยากให้ความทรงจำ ที่เธอให้ไว้
ช่วยทอแสงประกายทุกวัน
เพราะเพียงความอบอุ่นจากเธอไม่นาน
จะต่อเติมความสำคัญฉันได้

มองจันทรา เมื่อเวลามันกลบแสงดาว
กลัวทุกคราว เพราะว่าฉันนั้นคือก้อนหิน
กลัวดวงดาว ไม่ทอแสงลงกระทบดิน
และก้อนหิน อย่างฉันคงไม่สวยงาม

อยากให้ดาว ดวงนั้นรู้ว่า
เมื่อดารา ส่องแสง ฉันดูสดใส
อยากให้ดาวดวงนั้นเข้าใจ
ขาดเธอไป ตัวฉันคงหมดสิ้นกัน

อยากให้ความทรงจำ ที่เธอให้ไว้
ช่วยทอแสงประกายทุกวัน
เพราะเพียงความอบอุ่นจากเธอไม่นาน
จะต่อเติมความสำคัญฉันได้

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

พลั้ง พลาด พ่าย

" WILL YOUR NEXT MISTAKE BE FATAL? "

แนะนำเล่มนี้ค่ะ สำหรับผู้ที่มีธุรกิจ
หนทางอันตรายที่นำธุรกิจคุณไปสู่หายนะ
คำว่าหายนะน่ากลัวค่ะ ยังงัยลองหามาอ่านดู

ผู้เขียน Robert E. Mittelstaedt, JR.
ผู้แปล ปวีณา  แปลงประวัติ
ผู้เรียบเรียง วีรวุธ มาฆะศิรานนท์
ราคา 395 บาท

ซื้อมาอ่านนานแล้ว แต่ยังอ่านไม่จบ ต้องอาศัยแรงบันดาลใจในการอ่านเล่มนี้มาก เนื่องจากไม่มีธุรกจิเป็นของตัวเอง ฉนั้นว่างก็หยิบจับมาอ่านไปเรื่อยๆ ครั้งละบท  2 บท ไม่มีการบังคับตัวเองเด็จขาดจ๊าา ^_^

อยากเห็นโลกสวยงามอย่างไร

เราอยากให้โลกเปลี่ยนแปลงและสวยงามอย่างไร
เราต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเอง คานธี เคยกล่าวไว้ว่า

" Be the change you want to see in the world "

มันยากกว่าการบอกหรืออธิบายกับคนรอบข้าง
ว่าเราอยากเห็นโลกสวยงาม หรือแม้กระทั่งบอกว่า
เราอยากให้โลกสวยงามอย่างไร แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
อย่างน้อยเราก็มีภาพวาดให้ตัวเอง และคนรอบข้างว่า
เราอยากเห็นโลกของเราสวยงามอย่างไร ประเด็นก็คือ
" ความฝันมันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน ถ้าไม่มีใครเริ่มต้น "
และคนที่เริ่มต้นได้ง่ายและดีที่สุดคือ " ตัวเราเอง "

โยคะใบหน้า สาวอ่อนวัย

โยคะใบหน้า สาวอ่อนวัย (คู่หูเดินทาง)

            แน่นอนว่าใคร ๆ ก็อยากเป็นเจ้าของใบหน้าสวยอ่อนเยาว์ วันนี้คู่หูเดินทางมีตัวช่วยในการออกกำลังกายใบหน้ามาฝาก เพื่อให้หนุ่มสาวชาวคู่หูเดินทางดูสดใส ปิ๊งปั๊งกันตลอดเวลาแม้ในยามเดินทาง
    ท่าที่ 1 ท่ากลางหน้าผาก ให้วางนิ้วชี้ไว้ที่โคนผมกลางหน้าผาก นิ้วนางวางบนหว่างคิ้ว ตรึงไว้ แล้วหายใจเข้า ตามองต่ำ เพื่อเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตา ใช้นิ้วกลางกดน้ำหนักบนกล้ามเนื้อ ลูบจากบนลงล่างช้า ๆ แล้วหายใจออก จากนั้นเลื่อนมือออกด้านข้าง เพื่อยืดกล้ามเนื้อซ้ายและขวา

    ท่าที่ 2 ท่ากล้ามเนื้อระหว่างคิ้ว ใช้นิ้วกลางหรือนิ้วชี้ วางที่หว่างคิ้ว และกดไล่ออกจนถึงกึ่งกลางของคิ้ว

    ท่าที่ 3 ท่ากล้ามเนื้อจมูก ท่าแรกใช้นิ้วลูบสันจมูกจากบนลงล่าง ท่าสองใช้นิ้วลูบจากดั้งจมูกออกไปทางโหนกแก้ม

    ท่าที่ 4 ท่ากล้ามเนื้อรอบดวงตา ใช้นิ้วลูบรอบดวงตา ทั้งด้านบนและด้านล่าง

    ท่าที่ 5 ท่ากล้ามเนื้อรอบริมฝีปาก ใช้นิ้วมือซ้ายกดที่มุมปากด้านขวาเพื่อตรึงผิว ใช้มือขวากดและลูบออกไปใน 4 ทิศทาง ท่าละ 3-5 ครั้ง ได้แก่ เฉียงขึ้นบนไปทางไรผม ด้านข้างตรงไปถึงติ่งหู เฉียงลงทางขากรรไกร และลงมาที่ปลายคาง โดยทำทั้ง 2 ข้าง

    ท่าที่ 6 ท่ากล้ามเนื้อคอ ใช้ 2 มือ กดบริเวณไหปลาร้า แล้วยึดลำคอขึ้นใน 3 ทิศทาง คือ ตรงเหมือนแหงนหน้าขึ้น ยืดซ้ายและยืดขวา หลังการยืดกล้ามเนื้อ เข้าสู่การออกกำลังกล้ามเนื้อเต็มที่ โดยย่นหน้าผากหลับตาปี๋ ยิ้มให้กล้ามเนื้อที่แก้มทำงาน ปฏิบัติท่าละ 3 ครั้ง เมื่อเสร็จแล้วปิดท้ายด้วยการยึดกล้ามเนื้ออีกครั้ง

            เมื่อทำเป็นประจำกล้ามเนื้อบนใบหน้าจะรู้สึกผ่อนคลายระบบการไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณดูสดใสเปล่งปลั่


ที่มาที่ไป ขอบคุณ : คู่หูคู่เดินทาง

โทร โทร โทร

มีข่าวสำหรับเพื่อนๆ ที่ถามมาค่ะ

1.AIS แจ้งย้ายค่ายเบอร์เดิมทำได้แล้ว และ dtac ย้ายค่ายเบอร์เดิมใช้ได้เหมือนกันจ๊า

2.Truemove ยังไม่ทราบค่ะ

3.iPhone, iPod Touch และ iPad : iOS 4.2 Beta ออกแล้ว ศึกษาให้ดีก่อนทำน๊า

4.ขอเตือนนิดสำหรับ iPhone Lock อย่าข้องแวะกับเวอร์ชันน์ iOS 4.2 Beta นี้นะ(ว่าไปก็ไม่ควรตั้งแต่ iOS 4.1แล้วแหละ)...เพราะค่าBasebandมันเปลี่ยนอีกแล้วแน่นอนคุณจะปลดล็อคไม่ได้นั่นเองค๊า



เพิ่มเติม


Truemove ก็ย้ายได้เหมือนกันค่ะ..แค่ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้นค่ะ
สำหรับ iPhone4 ตอนนี้ True ยังไม่ได้ปิดให้จองค่ะ
แต่ข่าวว่า AIS , Dtac เปิดให้จองแล้ววว


ขอบคุณที่มาที่ไป:  @iPhonemods 

เรื่องสั้น...Look for the stars

              หญิงคนหนึ่งแต่งงานและย้ายไปอยู่กับสามีที่ทะเลทรายแคลิฟอร์เนีย ได้ประมาณ 1 เดือนและพบว่าชีวิตที่นั้นไม่มีความสุขเลย เธอได้เขียนจดหมายถึงคุณแม่ของเธอว่า "ลูกไม่อยากอยู่กับสามีที่นี่แล้ว ลูกไม่สามารถอยู่ในทะเลทรายที่นี่ได้อีกต่อไปมันเลวร้ายมาก คนที่นั่นไม่เคยสนใจลูกเลย และลูกก็ไม่สนใจคนเหล่านั้นด้วย"


            ....คุณคิดว่าคุณแม่ของหญิงคนนี้ ต้องการบอกอะไรกับลูกสาวของเธอ...

    
            คุณแม่ของเธอเขียนจดหมายตอบเธอสองบรรทัดว่า "มีคนสองคนนั่งอยู่ข้างกำแพงคุก คนหนึ่งมองไปที่ดินโคลน อีกคนหนึ่งมองไปที่ดวงดาว" คุณแม่ของเธอเขียนต่อไปอีกว่า "ลูกรัก มองไปยังดวงดาวที่สวยงาม"


            ...ตั้งแต่ นั้นมาเธอก็มองไปที่ดวงดาว เธอเริ่มสนใจกับผู้คนที่นั่นมากยิ่งขึ้น เธอเริ่มสนใจดอกไม้ ก้อนหิน ดวงดาวและธรรมชาติที่ทะเลทราย ชีวิตของเธิเริ่มมีความสุขและดีขึ้นทุกๆ วัน....

                           จบอย่างสวยงามและมองโลกในแง่บวก

@ มีหนึ่งความคิดเห็นจากพี่ที่รู้จักค่ะ


คงเป็นเรื่องที่คล้ายกับสองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย

คน เรามีหนึ่งสมองเท่ากัน มีตาเหมือนๆ กัน แม้กระนั้นก็ตามยังมองต่างกัน บางคนก็มองสิ่งใดเป็นเรื่องร้าย เรื่องเสีย ไม่ดีไปเสียหมด เรียกว่า มองแบบลบ มองแง่ไม่ดี เหมือนกับสีดำ ตรงข้าม กับคนที่มองไปใน ด้านบวก บริสุทธ์ คิดทางดี มองแง่ดี

จริงๆ แล้ว มองแบบบวกไปหมด สดใสไปหมด ก็ใช่ว่าจะดี
ทุกอย่างควรจะอยู่สายกลาง อยู่ที่ความพอดี (พระพุทธเจ้าพูดไว้สั้นๆ แต่เป็นจริงเสมอ)

การ มองโลกเป็นสีขาวไปหมด สดใสไปหมด ทำให้คนๆ นั้นขาดความระวัง ตกอยู่ในความประมาทต่อโลก มองแบบเด็กไร้เดียงสาน่ะ คิดดูเถอะ ว่าจะอันตรายแค่ไหน...



anda_da



 

เมื่อได้ผลผลิต

สุขใจแค่ไหนเมื่อเห็นผลที่ได้จากการลงมือทำ  สวัสดีค่ะ วันนี้นะคะจะมาบอกเล่าถึง ความสุขที่ได้ลงมือทำ อย่างเช่นครั้งนี้เช่นกัน สุขใจจริงๆค่ะ ที...