วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ชาน้ำผึ้งผสมมะนาว



ส่วนผสม
-ชาอูหลง 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำผึ้ง 5 ช้อนโต๊ะ
-มะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
-เกลือ 1 หยิบมือ
-น้ำตาล 1 ช้อนชา
-น้ำต้มเดือด 150 มิลลิลิตร






มาดื่มชาสักแก้วกันดีไหมค่ะ  ชาเเก้วนี้ทานไม่ยากค่ะ เพราะใส่ทั้งน้ำผึ้ง และมะนาว ถูกปากวัยรุ่นที่ไม่ชอบดื่มชาขมๆ ชาแก้วนี้ถ้าลองได้ชิมเเล้ว กลิ่นรสจะได้กลิ่นหอมของใบชาค่ะ  รสหวานน้ำผึ้ง และเปรี้ยวๆจากมะนาว ทานเเล้วชุ่มคอดีค่ะ
ก่อนอื่น ต้องเริ่มจาก ซื้อชาอบแห้งมาก่อนนะค่ะ มีขายทั่วไปหาซื้อไม่ยากค่ะ ชาที่เลือกเป็นชาอูหลงรสชาติ จะนุ่มไม่ขมเหมือนชาประเภทอื่น เป็นชาจากจีน ทานง่ายค่ะ มีทั้งชาอูหลงก้านอ่อนเบอร์ 12 และเบอร์ 17 รสชาติก็เเตกต่างกันไป แล้วเเต่ชอบค่ะ
1.ต้มน้ำให้เดือดจัดเลยนะค่ะ จากนั้นก็เตรียมใบชาใส่ลงบนตะเเกรงของกาต้มชาค่ะ
2.เทน้ำร้อนลงไปค่ะ เเช่ชาทิ้งไว้ในน้ำร้อน  40 วินาที เทน้ำทิ้งค่ะ น้ำแรกให้เททิ้งก่อนนะค่ะ ทำความสะอาดชาก่อน เพราะการผลิตชาแห้งไม่ได้ผ่านการล้างทำความสะอาดใบชาเลย ดังนั้นผู้ดื่มต้องล้างน้ำแรกทิ้งก่อนนะค่ะ
3.เทน้ำร้อนลงไปอีกค่ะ เเช่ชาในน้ำร้อน  2 นาที
4.เทน้ำชาใส่แก้ว ผสม น้ำผึ้ง และน้ำตาลลงไป คนให้น้ำตาลละลายค่ะ
5.ทิ้งน้ำชาไว้ให้เย็นสักครู่ค่ะ เทใส่น้ำเเข็ง และเติมน้ำมะนาว เกลือลงไป ชอบเปรี้ยวมากก็ใส่มากนะค่ะ คนให้เข้ากัน เรียบร้อยเเล้ว ดื่มได้เลยค่ะ
ถ้าใครติดใจรสชาติของน้ำชา ลองเดินไปเลือกซื้อชา เเต่ละประเภทมาลองชิมนะค่ะ อาจจะเจอ ชาในเเบบที่คุณชอบ และหลงเสน่ห์ของการจิบชาแทนน้ำก็เป็นไปได้ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555



สูตรสมุนไพรรักษาฝ้า


     "ฝ้า" ถือได้ว่าเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม เกิดจากการผิดปกติของเม็ดสีใต้ผิว เลือดลม แสงแดด ความร้อน เครื่องสำอางค์ การขาดสารอาหาร ความเครียด ฮอร์โมนผิดปกติ เช่น การตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด พบในหญิงมากกว่าชายในวัย 30-40 ปีเป็นต้นไป
   ลักษณะของฝ้าจะเห็นเป็นปื้นสีดำ หรือน้ำตาล ที่เกิดบนผิวหนัง อาจพบบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว และเหนือริมฝีปาก
   ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า
     - แสงแดด เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า ทำให้เป็นฝ้ามากขึ้น หรือทำให้ฝ้าเข้มขึ้น ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น.
     - ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนจะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ เช่น ในระหว่างการตั้งครรภ์ ในวัยหมดประจำเดือน และการรับประทานยาคุมกำเนิด
     - พันธุกรรม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า เนื่องจากพบฝ้าได้บ่อยในชาวเอเชียมากกว่าชาวตะวันตก อย่างไรก็ตาม อาจเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมหรือแสงแดดก็เป็นได้
     - ยา พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากันชักบางประเภท จะมีผื่นดำคล้ายฝ้าขึ้นบริเวณใบหน้า จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า
     - เครื่องสำอาง การแพ้น้ำหอมหรือสีในเครื่องสำอางอาจทำให้เกิดรอยดำคล้ายฝ้าได้
     การป้องกันการเกิดฝ้า
       ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดฝ้า เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ สวมหมวกหรือกางร่ม และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกแดด หากฝ้าเกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด อาจปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น โดยปกติแล้วหากหยุดยาคุมกำเนิด ฝ้าก็จะค่อยๆ จางหายไป เช่นเดียวกับฝ้าที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะค่อยๆ จางหายไปหลังคลอด
     การรักษาฝ้าบางคนคิดว่าการใช้ครีมทาฝ้าเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ในช่วงแรกฝ้าจะดูจางลง ผิวหน้าจะดูใสขึ้น แต่เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะโดนแดดไม่ได้ ผิวจะเห่อ ไหม้ กลายเป็นฝ้าหนากว่าเดิม เนื่องจากสารที่เคมีที่เป็นส่วนผสมทำปฏิกิริยาต่อผิว และอาจเป็นอันตรายได้
   เราจึงมีวิธีรักษาฝ้าโดยใช้สมุนไพรใกล้ตัวมาแนะนำกัน เหมาะสำหรับคนที่เริ่มเป็นฝ้าหรือไม่อยากใช้สารเคมี
สูตรข้าวโอ๊ต+เมล็ดมะม่วงหิมพานต์


ผสมข้าวโอ๊ตบด เมล็ดมะม่วงหิมพานต์บด และน้ำอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ใช้ทาผิวหน้าทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก ทำเป็นประจำฝ้าจะจางหายไป



แครอท สลายฝ้า..

สรรพคุณเก๋ๆ ของแครอทที่มากไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน จนคุณสาวๆ อาจจะอดใจไม่ไหว ต้องไปแย่งน้องกระต่ายมากินกันเลยก็เป็นได้
    เพราะว่าการกินแครอทวันละ2 -3 หัว จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยทำให้ฝ้าที่ขึ้นบนใบหน้าจางลงไปได้เอง ไม่ต้องพึ่งยาเลยนะจ๊ะขอบอก..


สูตรว่านลอกฝ้า

ว่านมีสรรพคุณช่วยลอกฝ้า ลบรอยจุดด่างดำบนใบหน้าและช่วยรักษาสิว
ส่วนผสม     วุ้นของว่านหางจระเข้ 300 กรัม
วิธีทำ 
  
     การนำเอาว่านหางจระเข้มาใช้นั้นคุณควรนำมาจากต้นที่มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ให้ตัดใบของว่านหางจระเข้ออกมา 1 ใบ โดยเลือกเอาใบที่อยู่ด้านล่างสุดเพราะจะมีขนาดใหญ่และมีปริมาณวุ่นอยู่มาก จากนั้นนำมาล้างให้สะอาดแล้วใช้มีดเฉือนบริเวณที่โคนใบของว่านโดยกะให้ใช้พอใน 1 ครั้ง
     ใช้พลาสติกหรือกระดาษทิชชูแปะตรงรอยที่เฉือนออกมาจากนั้นจึงลอกผิวใบที่หุ้มวุ้นไปใส่ในเครื่องปั่น ปั่นให้เหลวจนเป็นเจล หรือคุณอาจใช้มือขยำเอาก็ได้เหมือนกัน นำวุ้นที่ปั่นได้มาใส่ถ้วย ต่อจากนั้นคุณก็ทำการล้างหน้าด้วยสบู่ล้างหน้ากับน้ำอุ่น หรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าของคุณ เช็ดหน้าให้แห้ง
     คลุมผมให้มิดชิดแล้วน้ำที่ได้มาพอกให้ทั่วใบหน้ายกเว้นบริเวณรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เมื่อครบกำหนดเวลาให้คุณล้างออกด้วยสบู่กับน้ำวุ้นควรทำเช่นนี้ติดต่อกันอย่างน้อย 3 วันต่อ 1 ครั้ง
    ในบางรายอาจมีอาการแพ้วุ้นของว่านหางจระเข้คุณจึงควรทำการทดสอบดูก่อน โดยนำเอาวุ้นมาทาบริเวณท้องแขนทิ้งไว้ประมาณ 1 ช.ม. ถ้าไม่มีอาการใดๆ แสดงว่าคุณใช้สูตรนี้ได้อย่างปลอดภัย

สูตรหน้าใสไร้ฝ้า...
* เอาหัวผักกาดหั่นเป็นแว่นบาง ๆ ทาถูบริเวณที่เป็นฝ้าให้ทั่วทาทิ้งไว้ครั้งละประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกให้หมดด้วยน้ำสะอาดทำเช้าและเย็น ฝ้าจะจางและหายไปภายใน 10 วัน
 * ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าตอนเช้าและก่อนนอนทุกวันทาหน้าทิ้งไว้ไม่ต้องล้างออกประมาณ 5 นาที เพราะน้ำเมือกจะแห้งไปเอง ไม่ทำให้รู้สึกรำคาญ
 * ฝานแตงกวาเป็นแว่นบาง ๆ แล้วปิดแปะลงบนใบหน้าหรือจะใช้ถูให้ทั่วใบหน้าก็ได้ ทิ้งไว้พอแห้งก็ล้างออก ทำก่อนนอนนอกจากจะใช้รักษาฝ้าแล้วยังช่วยรักษาสิวได้ดีอีกด้วย


***อย่าให้หน้าสวยๆใสๆของเราต้องมีฝ้ามาบดบังนะคะ***
ขอขอบคุณ ข้อมูลที่รวบรวมโดย TaYanO  http://tay2014.allblogthai.com
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก www.samoonprithai.com , women.thaiza.com

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

การท่องเที่ยวกับความสะดวดสบาย

ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่านอกเหนือจากการคาดหวังที่นักท่องเที่ยวต้องการคือความสะดวดสบาย การเดินทางที่รวดเร็ว เข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวอย่างสะดวดง่ายดาย รถไม่ติด น้ำไม่ท่วม สะอาดปลอดภัย สรุปก็คือความมั่นใจในการท่องเที่ยว มาแล้วเป็นไปตามที่หวังและได้มากกว่าที่คาดหวังหรือไม่ เหล่านี้ไม่ใช้เรื่องเล่นๆ ประเภทเด็กขายของ แต่ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งสิ้นและเป็นปัจจัยหลักๆที่ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือภาครัฐต้องหาทางแก้ไขโดยเร็ว
...จากภาพ กรณีนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญ มาจอดยังท่าหาดป่าตอง ภูเก็ต จะเห็นว่าน้ำท่วมท่าเรือ สะพานเดินเต็มไปด้วยน้ำ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคในการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวผู้ที่ต้องใช้รถเข็นไม่สามารถออกมาจากเรือได้ หรือนักท่องเที่ยวบางท่านอาจจะถอดใจไม่ลงจากเรือ
การเดินทางด้วยรถ จากสภาพการจราจรที่ติดขัดทำไห้นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปยังสถานที่เที่ยวต้องใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ เกิดความเบื่อหน่าย เวลาที่ใช้ในการท่องเที่ยวน้อยกว่าเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ถึงจะไม่ใช้นักท่องเที่ยวเป็นใครใครก็เซ็ง
.....ที่กล่าวมาข้างต้น พ่อค้าแม่ค้าเจ้าของพื้นที่ขาดรายได้ เศรษฐกิจขาดความคล่องตัว กระทบเป็นลูกโซ่ จากเรื่องเล็กๆ(สำหรับบางคน) กลายเป็นเรื่องใหญ่โต
ภาพเช่นนี้ทำให้นักท่องเที่ยวไม่มั่นไจในระบบสาธารณูปโภค เกิดการบอกต่อกันไป คิดดูว่าอนาคตการท่องเที่ยวไทยเราจะเป็นอย่างไร จะสู้ประเทศไกลเคียงหรือประเทศอื่นๆได้หรือไม่ อย่าประมาทว่าประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับโลก ประเพณีวัฒนธรรมที่ยาวนาน เพราะสิ่งต่างๆที่คนไทยเคยภูมิใจ นับวันมันยิ่งจะถดถอยลงไปเรื่อยๆ ด้วยความไร้จิตสำนึกของคนไทยด้วยกันเอง

anda ~ 🚉✈🚌🚢🚥
รถยนต์ รถไฟ รถเมล์ เครื่องบิน เรือ ไฟจราจร บ้านเรามีครบ ยกเว้นจิตสำนึกที่ขาดหาย^^

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

พญาช้างผู้เสียสละ นิทานธรรม

พญาช้างผู้เสียสละ นิทานธรรม


             บริเวณป่าหิมพานต์ มีช้างป่าอยู่โขลงหนึ่งจำนวนนับเป็นแสนเชือกอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นช้างขาวปลอด ทั่วทั้งตัวมองดูแล้วเหมือนกองเงิน ตาทั้งสองข้างกลมเหมือนก้อนแก้วมณี หน้าแดงระเรื่อเหมือนผ้ากัมพลแดง งวงขาวย้วยเหมือนพวงเงินที่ประดับด้วยหยดทองคำขาว เท้าทั้ง ๔ แดงเหมือนทาด้วยน้ำครั่ง และมีชื่อว่า “พญาช้างสีลวะ” เนื่องจากเป็นช้างถือศีล พระเทวทัตเกิดเป็นพรานป่า
พญาช้างสีลวะมีรูปร่างสวยงามมาก เมื่อเติบโตเป็นช้างหนุ่ม ก็มีช้าง ๘๐,๐๐๐ เชือกเป็นบริวารห้อมล้อม ต่อมาเกิดเบื่อหน่ายโขลงช้างที่รับผิดชอบดูแลจึงปลีกตัวไปอยู่ตามลำพัง ต่อมา มีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งเดินทางไปบริเวณป่าหิมพานต์เพื่อหาเก็บผัก ผลไม้และล่าสัตว์เลี้ยงชีพ เขาเดินไปเรื่อยๆ จนเข้าไปในป่าลึกและจำไม่ได้ว่าทิศไหนเป็นทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก ทิศเหนือหรือทิศใต้ จึงหลงทางกลับเมืองพาราณสีไม่ถูก และเมื่อไม่เห็นทางจะช่วยตนเองได้ ก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่กลางป่านั้นเอง
พญาช้างสีลวะได้ยิน เสียงคร่ำครวญของพรานป่าแล้วเกิดสงสารจะช่วยเขา “ชายคนนั้นเขาประสบทุกข์ เราจะต้องช่วยเขา” พญาช้างคิดพลางค่อยๆ เดินเข้าไปหาพรานป่า



ฝ่ายพรานป่าเห็นช้างเดินมาใกล้ก็รู้สึกกลัวจึงถอยหนี พญาช้างเห็นพรานป่าถอยหนีก็หยุดยืนมองอยู่เฉยๆ “เอ๊ะ..... ช้างตัวนี้มีท่าทางแปลกประหลาด” พรานป่าเริ่มคิดได้ “เวลาเราหนี มันกลับหยุด เวลาเราหยุด มันกลับเดินเข้ามา สงสัยจะมาช่วยเรา”


ครั้นคิดได้ดังนั้น จึงรวบรวมความกล้ายืนคอยช้างซึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ พญาช้างเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ แล้วส่ายสายตามองดูพรานป่าชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงถามไปว่า

“ท่านผู้เจริญ ท่านเดินร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทำไม”

พรานป่ารู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงช้างถามขึ้นอย่างอ่อนโยน จึงตอบไปว่า

“ข้าพเจ้าร้องไห้คร่ำครวญเพราะกลับบ้านไม่ถูก คงตายอยู่กลางป่านี้เป็นแน่”

“ท่านมาจากไหน”

“จากเมืองพาราณสี”



“ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเมืองพาราณสีอยู่ที่ไหน แต่จะพาท่านออกไปให้พ้นป่า จากนั้นท่านค่อยหาทางกลับบ้านเอง”

“ขอบคุณท่านมาก พญาช้าง”


พญาช้างสีลวะชำนาญเส้นทางเดินลัดเลาะภูเขาและป่าไม้ก็ถึงบริเวณชายป่า หิมพานต์ แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงเพื่อให้พรานป่าลงได้อย่างสะดวก เมื่อพรานป่าลงมายืนบนพื้นดินแล้วพญาช้างก็พูดขึ้นว่า

“ท่านผู้เจริญ เลยป่านี้หน่อยหนึ่งก็เป็นทางใหญ่ที่มนุษย์เดินไปมากัน ทางสายนี้คงจะมีทางแยกไปเมืองพาราณสี”

“ข้าพเจ้าช่วยท่านครั้งนี้มิได้หวังอะไรตอบแทน” ช้างพูดขึ้น “มีอยู่อย่างเดียวที่จะขอท่าน จะให้ข้าพเจ้าได้หรือเปล่า”

“ท่านขออะไรว่ามาเลย”

“ขอให้ท่านอย่าบอกเรื่องที่มาพบข้าพเจ้าและอย่าบอกเรื่องที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่”

“เท่านี้เองหรือ” พรานป่าแสดงท่ารับคำขอร้องได้

“ขอบคุณท่านมาก” พญาช้างพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าป่าลึกไป

ฝ่ายพรานป่า ตลอดเวลาที่นั่งหลังพญาช้างออกมาจากป่านั้น ก็คอยสังเกตหนทางโดยอาศัยภูเขาเล็กๆ และต้นไม้เป็นเครื่องหมาย

“สักวันหนึ่งเราจะกลับมาอีก” เขาคิดอยู่ในใจ “ช้างตัวนี้งาสวย ถ้าใครต้องการซื้อเราจะมาตัดไปขาย”

ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงเมืองพาราณสีแล้ว วันหนึ่งขณะเดินไปตามท้องถนนเห็นพวกช่างงาช้างกำลังเอางาช้างมาทำเป็นรูป แปลกๆ ก็พลันคิดถึงพญาช้างสีลวะ เขาจึงเดินเข้าไปถาม

“ท่านอยากได้งาช้างเป็นกันไหม”

“พูดเป็นเล่นไป” พวกช่างงาแสดงท่าอยากได้ “งาช้างเป็น มีค่ากว่างาช้างตายอีก”

“ถ้าพวกท่านอยากได้ ข้าพเจ้าจะไปหามาให้”

“ไปเอามาเลย เอามาเดี๋ยวนี้ได้ยิ่งดี”

เมื่อพวกช่างงายืนยัน ว่ารับซื้อแน่นอน พรานป่าก็รีบกลับมาบ้านเตรียมเลื่อยเหล็กและเสบียง แล้วออกเดินทางมุ่งหน้าไปป่าหิมพานต์ที่อยู่ของพญาช้างสีลวะทันที เขาชำนาญการเดินทางและจำเครื่องหมายได้ดี เดินทางอยู่ไม่กี่วันก็ไปถึงที่อยู่ของพญาช้าง
“ท่านผู้เจริญ ท่านกลับมาทำไมล่ะ” พญาช้างสีลวะถามเขา ซึ่งบัดนี้มายืนอยู่เบื้องหน้า

“พญาช้าง” พรานป่าตอบละล่ำละลัก “ข้าพเจ้ามาหาท่านนั่นแหละ”

“มีเรื่องอะไรหรือ”

“พญาช้าง ข้าพเจ้าไม่มีญาติพี่น้องแถมยังหากินฝืดเคือง มาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาของาท่านสักสองท่อนเพื่อเอาไปขาย”

“ได้ ถ้างาของข้าพเจ้าจะช่วยให้ท่านเลี้ยงชีวิตอยู่ได้” พญาช้างสีลวะพูดด้วยความเต็มใจ จากนั้นก็หมอบลง

พรานป่าดีใจมากจึงรีบเอาเลื่อยออกมาเลื่อยตรงบริเวณส่วนปลายงาทั้งสองข้าง ทันทีที่งาขาดตกลงกับพื้นดิน พญาช้างสีละก็เอางวงจับงาทั้งสองนั้นขึ้นมากำไว้แน่น พร้อมกับกล่าวว่า

“ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าให้งาทั้งสองนี้แก่ท่าน ไม่ใช่เพราะมันทำให้เรือนร่างของข้าพเจ้าสวยงาม แต่ยังมีงาอีกชนิดหนึ่งที่ข้าพเจ้ารักยิ่งกว่า เพราะเป็นงาที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งธรรมทั้งปวงนั่นคือ พระสัพพัญญุตญาณ และยังช่วยโลกให้พ้นทุกข์ได้อย่างใหญ่หลวง”


ครั้นแล้ว พญาช้างสีลวะก็ชูงวงตั้งจิตปรารถนาขอให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แล้วยื่นงาให้พรานป่าไป
พรานป่าได้งาแล้วก็ รีบเดินทางกลับไปเมืองพาราณสี นำงาช้างไปขายให้พวกช่างงาได้ราคามางามทีเดียว เขาเป็นอยู่อย่างสุขสบายได้ระยะหนึ่งเงินก็หมด จึงเดินทางกลับมาขอตัดงาส่วนที่เหลืออีก

“พญาช้าง งาสองท่อนที่ท่านให้ไปขายได้ราคาเพียงแค่ใช้หนี้เท่านั้น ข้าพเจ้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาของาที่ยังเหลือไปขายอีก” พรานโอดครวญ

“เชิญท่านตัดเลย” พญาช้างสีลวะบอกพรานป่าพลางหมอบลง

พรานป่าก็ตัดเอางาไปอีก ๒ ท่อน รายได้จากงา ๒ ท่อนนั้นช่วยให้เขาเป็นอยู่อย่างสบายได้ระยะหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับมาขอตัดงาส่วนที่ยังเลือกอยู่อีก จนครั้งสุดท้ายมาขอตัดเอาโคนงาส่วนที่ยังฝังอยู่ในเนื้อ


“เชิญท่านตัดเลย” พญาช้างสีลวะเสียสละให้เหมือนอย่างเคย พรานป่าจึงมาเอาเลื่อยแล้วปีนขึ้นไปตัดจนขาด ครั้นได้ตามต้องการแล้วก็รีบจากไปด้วยความดีใจ

ขณะที่เขาเดินจากพญาช้างสีลวะไปด้วยความดีใจนั้น ก็พลันเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น คือ แผ่นดินตรงที่เขาเดินอยู่นั้นได้แยกออกแล้วสูบเขาจมหายไป แล้วทันใดนั้นเองก็มีเปลวไฟจากอเวจีมหานครลุกท่วมร่างของเขาแดงฉาน

เทวดาตนหนึ่ง สถิตอยู่บริเวณป่านั้น เห็นพฤติกรรมของพรานป่ามาตลอดจนกระทั่งถึงเวลาที่แผ่นดินสูบ จึงพูดขึ้นเสียงดังว่า

“คนอกตัญญูเห็นแก่ได้ แม้ใครยกแผ่นดินให้เขาครอบครอง ก็ไม่ทำให้เขาหยุดโลภได้”

ฝ่ายพญาช้างสีลวะ แม้บัดนี้จะไม่มีงาแล้ว ก็ต้องสู้ข่มความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ต่อมาไม่นานก็ล้มไปเมื่อถึงอายุขัย

--นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนอกตัญญูนั้น แม้ตอนแรกจะดูรุ่งเรือง แต่สุดท้ายก็จะพบความวิบัติ เหมือนอย่างพรานป่าอกตัญญูพญาช้างสีลวะแล้วพบกับความวิบัติฉะนั้น--

เมื่อได้ผลผลิต

สุขใจแค่ไหนเมื่อเห็นผลที่ได้จากการลงมือทำ  สวัสดีค่ะ วันนี้นะคะจะมาบอกเล่าถึง ความสุขที่ได้ลงมือทำ อย่างเช่นครั้งนี้เช่นกัน สุขใจจริงๆค่ะ ที...